ล้างแอร์รถยนต์ ควรทำเมื่อไหร่ มีวิธีล้างแบบไหนบ้าง

260

สำหรับผู้ที่มีรถยนต์เป็นของตัวเองการ ล้างแอร์รถยนต์ ถือเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ เพราะนอกจากจะทำให้แอร์เย็นฉ่ำแล้ว ยังเป็นการถนอมแอร์รถให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย

ล้างแอร์รถยนต์

ควร ล้างแอร์รถยนต์ เมื่อไร

การล้างแอร์นั้นโดยปกติทั่วไปศูนย์บริการ หรือช่างจะแนะนำให้ล้างเมื่อขับได้ระยะทางประมาณ 20,000 กิโลเมตร หรือทุก ๆ 1 ปี (อาจเกินได้นิดหน่อย) หรือหากรู้สึกว่าแอร์เริ่มไม่เย็น ต้องเร่งความแรงแอร์มากขึ้น หรือแอร์รู้สึกมีกลิ่นเหม็นอับ ก็ควรรีบล้างทันที เพราะไม่งั้นอาจจะมีปัญหาตามมาถึงขั้นต้องเสียเงินเปลี่ยนอะไหล่บางอย่างเลยทีเดียว ส่วนวิธีล้างนั้นก็สามารถทำได้ได้ดังนี้

วิธี ล้างแอร์รถยนต์

  1. ล้างแบบถอดตู้

การล้างวิธีนี้จะเป็นการล้างทั้งระบบ ความสะอาดสูงเพราะค่อนข้างละเอียด เหมาะกับรถที่มีอายุมาก ๆ หรือรถที่ระบบแอร์ผ่านการใช้งานมานาน ขั้นตอนการล้างช่างแอร์จะต้องขันน็อตใต้คอนโซล แล้วถอดน็อตพัดลมแอร์ และปลั๊กสายไฟออก แล้วจึงถอดตู้แอร์ กับพัดลมออกมา นำเอาคอยล์เย็นมาล้างให้ทั่วทุกซอกทุกมุม เปลี่ยนดรายเออร์กับวาล์วความดัน แล้วเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่

  1. ล้างแอร์รถยนต์ แบบไม่ถอดตู้

การล้างแบบนี้ส่วนใหญ่จะใช้กับรถรุ่นใหม่ ๆ หรือรถที่แอร์ได้รับการเป็นประจำ เป็นการล้างที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว ไม่เปลืองเวลา ขั้นตอนการล้างช่างแอร์จะล้างโดยฉีดโฟมไปจนทั่วคอยล์แอร์ หลังจากนั้นก็รอให้โฟมละลาย (ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 15-20 นาที) แล้วใช้แปรงขัดทำความสะอาด แล้วฉีดน้ำเข้าไปด้านในเพื่อทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย

  1. ให้วิธีฉีดสเปรย์ทำความสะอาด

วิธีนี้เหมาะกับรถที่วิ่งในเมือง ที่ต้องเจอฝุ่นควันเยอะ ๆ ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ละเอียด หรือมีประสิทธิภาพเท่ากับสองวิธีแรกจึงจำเป็นต้องทำบ่อย ๆ (ทุก ๆ 2-3เดือน) การล้างก็คือใช้สเปรย์ทำความสะอาดฉีดให้ทั่วคอยล์เย็นแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีรอจนโฟมละลาย แล้วไหลออกไปตามท่อน้ำทิ้งพร้อมกับน้ำแอร์

  1. ใส่กรองแอร์

วิธีนี้เหมาะกับรถบางรุ่นเท่านั้น การใส่กรองแอร์จะช่วยกรองฝุ่น โดยควรจะเปลี่ยนทุก 5,000 กิโลเมตร ถ้าหากไม่เปลี่ยนจะทำให้ฝุ่นอุดตัน ลมผ่านไม่สะดวกสุดท้ายอาจจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสียได้

สำหรับการเลือกวิธี ล้างแอร์รถยนต์ ควรปรึกษาช่างว่าควรใช้วิธีไหนจะดีที่สุด เพราะรถบางคัน บางรุ่น มีระบบแอร์ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงความสกปรกของแอร์ก็แตกต่างกันออกไป เพื่อที่จะได้ใช้แอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และใช้งานได้ยาวขึ้น